การหลอกลวงเรื่องโคเลสเตอรอล เพื่อล้วงกระเป๋าระดับโลก

 การหลอกลวงเรื่องโคเลสเตอรอล เพื่อล้วงกระเป๋าระดับโลก

โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องคนเราถูกหลอกให้ลดคอเลสเตอรอลโดยไม่จำเป็นมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน เที่ยวนี้ขอกลับมาเล่าใหม่ ดังนี้ครับ :

ภาพประกอบเท่านั้นไม่เกี่ยวกับเนื้อหาที่ลงไว้


คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมจู่ๆ "ภาวะ" คอเลสเตอรอลสูงซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเลยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
กลับกลายเป็น "โรค" ซึ่งสร้างความกลัว ความวิตกกังวลให้กับคนนับสิบล้านทั่วโลก?
ความ กลัวคือความทุกข์ประการหนึ่ง เป็นสิ่งที่บั่นทอนความสุขของผู้คน
แต่ความกลัวก็เป็นสิ่งที่บันดาลความสุขให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ คนขายยายังไงเล่า
การสร้างความกลัวดังกล่าวให้รายได้กับบริษัทยาทั่วโลกมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
โคเลสเตอรอลเป็นสารองค์ประกอบที่จำเป็นตัวหนึ่งในร่างกายของเรา
เราใช้มันสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ สร้างฮอร์โมนเพศ
สร้างฮอร์โมนคอร์ติโซลเพื่อช่วยระบบร่างกายแบกรับความเครียด
ต่อมามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงว่า
ระดับคอเลสเตอรอลสูงในเลือดมีความสัมพันธ์ต่อโรคหัวใจหลอดเลือด
แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า โคเลสเตอรอลที่ระดับเท่าไหร่จึงจะเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้
และมีประชากรจำนวนกี่คนที่จะเสี่ยงต่อเรื่องนี้จริงๆ
นายเฮนรี แกดสเดน ซึ่งเป็นประธานบริษัทเมิร์ก ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจยา
ซึ่งกำลังจะเกษียณอายุ ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูนว่า
"บริษัทยา ถูกจำกัดศักยภาพไว้ให้อยู่เฉพาะกับผู้เจ็บป่วยเท่านั้น
แท้จริงแล้วบริษัทเมิร์กควรทำแบบบริษัทขายหมากฝรั่ง
คือผลิตยาขายให้กับคนสุขภาพดี ให้บริษัทสามารถขายยาให้แก่ทุกๆ คน"
แปล ฝรั่งพูดไทยให้คนไทยฟังก็คือ
นายแกดสเดนคิดว่า ถ้าเขามัวแต่ขายยาลดโคเลสเตอรอลให้กับผู้ป่วยจริงๆ
คือพวกโรคหัวใจ เขาก็จะรวยช้า จำเป็นอยู่เองที่เขาจะต้องทำให้คนปกติที่ไม่ป่วย
แต่เข้าใจว่าตัวเองป่วย และหันมากินยาลดไขมันของเขา เขาจะได้รวยเร็วขึ้น
คิดได้ดังนั้นแล้ว นายเฮนรี แกดสเดน ก็จัดการทำ "ใต้ โต๊ะ"
กับคณะผู้เชี่ยวชาญชุดหนึ่งในสหรัฐซึ่งมีหน้าที่กำหนด
ค่ามาตรฐานของโคอเลสเตอรอลในเลือด
ให้ปรับค่าปกติของคอเลสเตอรอลจากเดิมที่ 250 ม.ก./ด.ล.
มาเป็น 200 ม.ก./ด.ล. งานนี้ประชุมกันในปลายปี ค.ศ.2001
ผล ก็คือ หลังการประชุมในคืนนั้นคนทั่วโลกนอนหลับไป
ครั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่ามีประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลก
ซึ่งเมื่อวานนี้ยังเป็นคนปกติอยู่ แต่นอนหลับไปคืนเดียว
ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนกลายเป็นผู้ป่วยไปเสียแล้ว
ด้วยเหตุนี้ยาสแตตินซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกัน 13 ล้านคน
ในปี ค.ศ.1990 จึงเพิ่มกลุ่มประชากรที่ต้องบริโภคยาเป็น 36 ล้านคน
ภายในชั่วข้ามคืนเดียวตามกำหนดของหลักเกณฑ์ใหม่โดยคณะผู้เชี่ยวชาญ
(ด้านการใช้ยา) ในปีดังกล่าว
ภาพประกอบเท่านั้นไม่เกี่ยวกับเนื้อหาที่ลงไว้


ซึ่งต่อมามีความจริงที่พบว่า คณะผู้เชี่ยวชาญคณะนี้มี 14 คน มี 5 คน
ที่มีความสัมพันธ์ด้านการเงินกับผู้ผลิตสแตติน 8 ใน 9 ของคนคณะนี้รับจ้างบรรยาย
เป็นที่ปรึกษา หรือทำวิจัยให้บริษัทยายักษ์ใหญ่
มีผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งรับเงินจากบริษัทถึง 10 บริษัทด้วยกัน
ความเชื่อมโยงเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ
จนมีองค์กรสื่อในอเมริกานำมาเปิดโปง และเกิดวิวาทะครั้งใหญ่
ใครที่สนใจเรื่องนี้ไปหาอ่านได้ในหนังสือ "อุบายขายโรค"
พิมพ์โดยสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นบรรณาธิการ
คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่ตกอยู่ในฐานะนักบริโภคยาลดไขมัน
คงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้หมอเคยชี้ว่าคุณเป็นโรคโคเลสเตอรอลสูงเมื่อระดับเกิน 250 ม.ก./ด.ล.
แต่ต่อมาไม่นานกลับไปหาหมอคนเดิม ทีนี้ท่านบอกคุณว่า
"มีงานวิจัยใหม่แล้วว่าคอเลสเตอรอลที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 200 ม.ก./ด.ล.
เพราะคนที่ระดับคอเลสเตอรอลระหว่าง 200-250 ม.ก./ด.ล.
ก็มีสิทธิตายด้วยหัวใจหลอดเลือดอีกตั้งเยอะ เห็นท่าจะจำเป็นจ่ายยาลดโคเลสเตอรอลให้คุณละนะ
ไหนๆ คุณก็เบิกค่ารักษาพยาบาลได้อยู่แล้ว" ดังนั้น คุณก็ยอมรับอย่างน่าชื่น
แต่ คุณรู้ไหมว่า ยาลดไขมันเหล่านี้เข้าไปทำหน้าที่อย่างไรในร่างกาย
ทำไมจู่ๆ คนมีนิสัยแย่ๆ ในการกินอาหารจนโคเลสเตอรอลสูง
ครั้นหันมากินยาลดไขมันแต่ยังคงดำเนินชีวิตแย่ๆ ต่อไป
แล้วโคเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลงได้
ตามหลักฟิสิกส์แล้ว สสารย่อมไม่สูญสลายไปไหน
แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่า ไขมันที่คุณกินเข้าไปอย่างตามใจปาก มันหายไปไหนหมด
คำตอบก็คือ ยาลดไขมันไปทำหน้าที่เพิ่มปุ่มรับ (receptor) บนเซลล์ตับ
ให้ตับเก็บรับโคเลสเตอรอลจากกระแสเลือด แล้วไปซุกอยู่ในเซลล์ตับนั่นเอง
ผล ก็คือการหลอกลวงว่า ในเลือดของเราหลังกินยาแล้วหลอดเลือดสะอาด
แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการกลบเกลื่อนหลักฐานของนิสัยบริโภคนิยมที่เหลวไหล
เหมือนการกวาดเอาขยะไปซุกอยู่ใต้พรมนั่นเอง
พูดง่ายๆ ว่าไขมันเหล่านั้นย้ายที่อยู่ไปซุกอยู่ในตับ
จึงพบความจริงว่าใครก็ตามกินยาลดไขมันไป 3-5 ปี
ขอท้าพิสูจน์ให้ไปตรวจอัลตราซาวด์ตับได้เลย
จะพบผู้คนจำนวนมากที่กลายเป็นโรคไขมันพอกตับไปแล้ว
แถมปัจจุบันนี้คนที่กินยาจนโคเลสเตอรอลต่ำมากแล้ว
หมอยังไม่ยอมเลิกจ่ายยา แต่บอกผู้ป่วยว่า "คุณต้องกินยาตลอดชีวิต"
เรื่อง ของโคเลสเตอรอลจึงมีเรื่องราวซ่อนเงื่อนทางธุรกิจอยู่มากมาย
และผู้บริโภคก็ตกเป็นเหยื่อของการแพทย์พาณิชย์
นี่คือประเด็นที่หนึ่งที่จะชี้ให้เห็นในวันนี้
เขียนโดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
คำเตือนในการทานยากลุ่ม Statin
FDA Adds Diabetes Warning to Statin Label
ลดแรงกว่าเดิม! ลดสูงสุดถึง 20% ใครที่กำลังมองหาของตกแต่งบ้านออฟฟิศ ผ้าคลุมถังน้ำดื่ม ลดสะใจมากกกกกกก จัดเลย!


ไม่มีความคิดเห็น: