สุขภาพคนไทยป่วยและเสียชิวิตเพราะมะเร็ง หัวใจ ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง มากสุด

 ในปัจจุบัน เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพกำลังมาแรง มีวิธีการดูแลรักษาสุขภาพในท้องตลาดที่หลากหลายจนนับไม่หวาดไม่ไหว เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยมากขึ้นทุกวัน ความรู้จากทางตะวันตกก็หลั่งไหลเข้ามามากมาย

หากพิจารณาในมุมดังกล่าว ผู้คนในประเทศไทยก็ควรจะมีสุขภาพที่ดีกันถ้วนหน้า ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แต่ความจริงที่เกิดขึ้น กลับตรงกันข้าม เพราะในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แม้ว่าคนไทยจะมีอายุเฉลี่ย

เพิ่มมากขึ้น เพราะตายด้วยโรคติดต่อ โรคระบาดน้อยลง แต่จำนวน ผู้ที่ป่วยและตายเพราะ โรคร้ายแรงยอดฮิตที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด โรคมะเร็ง เบาหวาน หัวใจ ความดันสูง โรคไต ไขมันในเลือดสูง ฯลฯ กลับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพและความเจ็บป่วย คนส่วนใหญ่ มักจะหวังพึ่งพาให้แพทย์ดูแลและแนะนำ แต่ความจริงที่น่าตกใจ ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ก็คือ แพทย์เป็นอาชีพที่มีอายุขัยเฉลี่ยน้อยกว่า คนทั่วไปถึง 15 - 20 ปี

โดยปกติแล้ว คนไทยเพศชายจะมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 70 ปี เพศหญิงประมาณ 75 - 80 ปี แต่นายแพทย์กลับมีอายุขัยเฉลี่ย ประมาณ 55 - 61 ปี ส่วนแพทย์หญิงมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 53 - 55 ปี เท่านั้น โดยสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของแพทย์ ก็คือ โรคมะเร็ง (ประมาณ 35%) รองลงมาก็เป็นโรคหัวใจ (28%)

กล่าวได้ว่า เกินกว่าครึ่งของแพทย์ต่างก็เสียชีวิตด้วยโรคที่เราหวัง จะพึ่งพาการดูแลและขอคำแนะนำจากแพทย์นั่นเอง สถิติดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความรู้และวิธีการ ปฏิบัติตัวที่แพทย์ส่วนใหญ่และคนส่วนใหญ่มี เป็นความรู้ที่ตั้งอยู่ บนพื้นฐานของความไม่รู้ หรือไม่ครบถ้วน จึงทำให้คนไทยจำนวนมาก

(รวมถึงแพทย์) ไม่สามารถปฏิบัติตัวให้ห่างไกลจากโรคได้ และ เป็นโรคที่พบบ่อยในปัจจุบัน โรคมะเร็ง เบาหวาน หัวใจ ความดันสูง โรคไต ไขมันในเลือดสูง ฯลฯ เมื่อเป็นแล้วมักจะเป็นต่อเนื่องยาวนาน (โรคเรื้อรัง) ซึ่งความ ทุกข์ทรมานจากการเป็นโรคเรื้อรัง จะทำร้ายทำลายชีวิตและจิตใจ ของผู้ป่วยและครอบครัวเป็นอย่างมาก เงินที่หามาทั้งชีวิตก็อาจ จะต้องหมดไปกับการพยายามยื้อชีวิต เพื่อรอวันตาย ไม่ใช่รอวันหาย

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางการแพทย์บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าหาก ปัญ

หาสุขภาพยอดฮิต! ของชีวิตคนเมือง

 

เราปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องจริงๆ เราก็สามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็น โรคดังกล่าวได้ โดยค่าใช้จ่ายและความทุ่มเทที่เราจะใช้เพื่อการ ป้องกันไม่ให้เป็นโรคเรื้อรังนั้น น้อยกว่าค่าใช้จ่ายและความทุ่มเท ที่เราจะใช้เพื่อรักษาในตอนที่เป็นแล้ว นับ 10 เท่า ส่วนผู้ที่ป่วย อยู่แล้ว หากปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องตามหลักการเดียวกัน ก็จะทำให้ อาการที่เป็นอยู่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน