ยืดอายุขัยให้นานขึ้นง่ายๆด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค

 เคยบอกไว้แล้วว่ามนุษย์มีโควตาอายุขัยยืนยาวถึง 140 ปี แต่ไปไม่ถึงจุดนั้นด้วยหลายปัจจัยตั้งแต่พันธุกรรม พฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง โรคภัย อุบัติเหตุ อาชญากรรม ฯลฯ หากตัดปัจจัยเหล่านั้นออกไปได้ อายุขัยยืนยาวขึ้นได้แน่นอน ดร.ลารส์ ฟาดเนส (Fadnes LT)



และคณะแห่งมหาวิทยาลัย Bergen ประเทศนอร์เวย์ แสวงหาแนวทางยืดอายุขัยโดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหารอย่างเดียวโดยวิเคราะห์งานวิจัยแบบที่เรียกว่า Meta-analysis ควบคู่การใช้เครื่องมือทางสถิติ สามารถสรุปผลการวิจัยออกมาได้ ผลงานตีพิมพ์ในวารสาร PLOS Medicine ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เราลองไปติดตามผลการวิจัยกันดู

ทีมงานวิจัยแนะนำว่าการเพิ่มอายุขัยทำได้โดยเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคแบบตะวันตกที่บริโภคแป้งขัดสีสูง ไขมันสัตว์ปริมาณสูง น้ำตาลสูง เกลือสูง อาหารสำเร็จรูปปริมาณมากเปลี่ยนเป็นการบริโภคพืชตระกูลถั่ว (Legumes) ให้มากขึ้น ตั้งแต่ถั่วเมล็ดเปียกที่เรียกว่า beans แบบฝักและ peas เมล็ดกลม หรือถั่วเมล็ดแห้ง pulses เพิ่มการบริโภคธัญพืชหรือประเภทข้าวทั้งเมล็ดแบบขัดสีต่ำและนัท (Nuts) หรือถั่วเปลือกแข็ง นอกจากนี้ยังมีพืชผักที่เป็นเมล็ดพืช (seeds) โดยลดการบริโภคเนื้อแดงและผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปให้น้อยลง



การบริโภคที่ไม่ถูกต้องนำไปสู่การเสียชีวิตมากถึง 11 ล้านคนต่อปี ทุพพลภาพมากถึง 255 ล้านคนต่อปี ทีมวิจัยพบว่าหากเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคให้เป็นไปตามแบบที่กล่าว โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 20 ปี จะเพิ่มอายุเฉลี่ยได้มากกว่าสิบปี โดยหญิงเพิ่มได้ 10.7 ปี ชาย 13.0 ปี
โดยการเพิ่มของอายุขัยสามารถแบ่งย่อยเป็นการเพิ่มจากการบริโภคพืชตระกูลถั่วมากขึ้น
สำหรับหญิง 2.2 ปี ชาย 2.5 ปี การบริโภคธัญพืชไม่ขัดสีมากขึ้น
สำหรับหญิง 2.0 ปี ชาย 2.3 ปี ถั่วเปลือกแข็งหรือนัท
สำหรับหญิง 1.7 ปี ชาย 2.0 ปี การลดการบริโภคเนื้อแดง
สำหรับหญิง 1.6 ปี ชาย 1.9 ปี การลดเนื้อปรุงหรือเนื้อแปรรูป (Processed/cured meat)
สำหรับหญิง 1.6 ปี ชาย 1.9 ปี
การปรับการบริโภคหากเกิดขึ้นเมื่ออายุ 60 ปี ยังสามารถเพิ่มอายุขัยเฉลี่ยได้ถึง 8 ปีสำหรับหญิงและ 8.8 ปีสำหรับชาย หากการเปลี่ยนพฤติกรรมเกิดขึ้นเมื่ออายุ 80 ปี
อาจช่วยให้อายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นได้ 3.4 ปี กรณีของหญิง และ 4.0 ปีสำหรับชาย สรุปคือใครอยากมีอายุขัยยืนยาวขึ้นสามารถทำได้ง่ายๆโดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้เป็นไปตามที่กล่าวเท่านั้น ไม่น่ามีอะไรง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว
อ้างอิง Dr.Winai Dahlan




ไม่มีความคิดเห็น: